00 น. ประเทศไทยอยู่ในโซนเวลา +7 (ต่างจากประเทศเยอรมัน 6 โซนเวลา) จะมีเวลาเท่ากับ 19. ในทางตรงข้าม ประเทศที่อยู่ด้านตะวันตกของเส้นนี้ จะอยู่ในโซนเวลาที่เป็นลบ (-) จากโซนเวลา -1 จนถึงโซนเวลา -12 ตัวอย่างเช่นประเทศไทยอยู่ในโซนเวลา +7 และเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา อยู่ในโซนเวลา -5 ดังนั้นเวลาจึงแตกต่างกันถึง 12 ชั่วโมง เช่นเมืองนิวยอร์คเวลา 13. ประเทศไทยก็จะเป็นเวลา 01. และเป็นคนละวันกันด้วย International Date Line (เส้นแบ่งวัน) จากที่กล่าวไว้แล้วว่าโซนเวลาทางด้านตะวันออกของเส้น GMT จะมีจาก +1 จนถึง +12 ในทางตรงกันข้าม โซนเวลาทางด้านตะวันตกของเส้น GMT จะมีจาก -1 จนถึง -12 หากท่านผู้อ่านลองนึกถึงโลกของเราเป็นลูกโลกกลม โซนเวลา +12 และ -12 ก็จะไปอยู่คร่อมกัน เส้นรอยต่อนี้เองที่เราถือกันว่าเป็นเส้นแบ่งวัน หรือ International Date Line สาเหตุที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการเจ็ทแล็ก โดยปกติคนเรามีชีวิตอยู่ที่ใดนานๆร่างกายจะมีการทำงานที่คุ้นเคยกับเวลาของประเทศนั้นๆ เช่น ตื่น 6 โมงเช้า มีกิจกรรมตั้งแต่เช้าจรดเย็นและเข้านอนตอน 23.
ปรับเวลานอนก่อนเดินทางไกล เป็นอีกหนึ่ง วิธีแก้ Jet Lag ที่ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งยานอนหลับอีกต่อไป หากเตรียมปรับเวลาเข้านอนก่อนออกเดินทางจริง 2-3 วันล่วงหน้า เช่น ต้องเดินทางไปฝั่งตะวันออกให้เข้านอนเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง และถ้าต้องไปเยือนเขตเวลาฝั่งตะวันตกก็ปรับเวลานอนให้ช้ากว่าเดิม 1 ชั่วโมง รวมทั้งปรับเวลารับประทานอาหารให้ตรงกับ Time Zone ที่กำลังจะไปก็เวิร์คนะจ๊ะ 3. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง ควรเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ต, ตั๋วเครื่องบิน และของใช้จำเป็นติดตัวไปด้วย เช็คสัมภาระของคุณให้ครบถ้วน ก่อนเดินทาง 1 วัน ช่วยลดความประหม่า ความกังวลที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ Jet Lag 4. หาท่านั่งที่สบายที่สุด ถึงสนามบิน เช็คอินเสร็จ โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก่อนเหินฟ้าไปต่างแดน เลือกเลยค่ะท่านั่งที่ดีที่สุด สบายที่สุด ชิลล์ที่สุด เพื่อให้ระหว่างการเดินทางฟินที่สุดช่วยลดอาการ Jet Lag ได้เบื้องต้น 5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากเราต้องนอนหลับให้เพียงพอก่อนการเดินทาง หากต้องนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน ควรเตรียมไอเท็มช่วยให้การนอนบนเครื่องหลับสบาย ผ่อนคลายขึ้น เช่น ผ้าปิดตา, ที่อุดหู และหมอนรองคอใบโปรด รวมถึงควรสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สามารถคลิกไปชม วิธีแก้เบื่อและการเตรียมตัวเมื่อต้อง นั่งเครื่องบินนาน ได้เลยค่ะ 6.
00 น.
ถาม: นภดล/ชลบุรี คนที่เดินทางด้วยเครื่องบินข้ามทวีป เช่น จากสหรัฐอเมริกามาประเทศไทย หรือจากประเทศไทยไปแอฟริกาใต้ มักพูดกันถึงเรื่องอาการ Jet Lag นั้น หมายถึงอะไร ตอบ: นพ.
วิตามินช่วยได้: ทั้งวิตามินซีและวิตามินบีช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน และมีส่วนช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้เร็วขึ้น อย่าลืมดื่มน้ำแครอท, น้ำส้ม หรือน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นกันนะคะ 6. ดื่มกาแฟแต่พอเหมาะ: หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้ว หากจะดื่มก็ควรดื่มในช่วงเช้าและกลางวัน แต่ไม่ควรดื่มใกล้เวลานอนหรือใกล้เวลาบิน เพราะจะทำให้คุณกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ และทำให้ปรับตัวยากเมื่อไปถึงปลายทาง 7. ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ: การสวมใส่เสื้อผ้าสบายจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ต้องเป็นเสื้อผ้าที่ไม่บางหรือหนาจนเกินไป รวมทั้งรองเท้าก็เช่นกัน ใส่ขึ้นเครื่องบินไม่ต้องจัดหนักจัดเต็มก็ได้ เลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย ๆ ดีกว่า ที่สำคัญอย่าลืมสวมใส่ถุงเท้าด้วยนะ เพราะเวลาที่คุณถอดรองเท้าจะได้ไม่ส่งกลิ่นรบกวนผู้อื่น 8. ฟังเพลงสบาย ๆ: การฟังเพลงสบาย ๆ สไตล์ Easy Listening ระหว่างการเดินทางหรือเมื่อไปถึงที่หมายแล้วก็ตามจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญควรเลือกเพลงที่มีความหมายแง่บวกดีกว่าเพลงอกหักรักคุดนะคะ 9. การรับประทานอาหาร: อย่ากินอาหารแบบจัดหนักจัดเต็มก่อนขึ้นเครื่องหรืออาหารรสจัดที่เสี่ยงทำให้คุณท้องไส้ปั่นป่วน เลือกกินอาหารเบา ๆ ที่อิ่มสบายท้องหรืออาหารที่มีโปรตีนมากกว่าอาหารรสหวาน ๆ นอกจากนี้การลองปรับตัวกินอาหารถิ่นหรืออาหารใกล้เคียงกับสถานที่ที่จะไปก็จะทำให้คุณปรับตัวได้ง่ายขึ้น 10.
หาเวลางีบบ้าง: การปรับตัวให้เข้ากับเวลาใหม่แบบปัจจุบันทันด่วนคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็อย่าเพิ่งออกตระเวนเที่ยวลั้ลลา นอนพักสักครึ่งชั่วโมงเพื่อเติมพลังก่อนจะทำให้คุณเที่ยวสนุกกว่า อ้อ... แล้วอย่าเผลอนอนยาวหลายชั่วโมงนะคะ เพราะจะทำให้คุณเพลียกว่าเดิม 11. อากาศบริสุทธิ์ช่วยได้: เมื่องีบได้ที่แล้วก็ปลุกตัวเองมารับอากาศบริสุทธิ์บ้าง ไม่ว่าจะไปรับลมเย็น ๆ หรือสัมผัสกับแสงแดดภายนอก เพราะมันจะทำให้คุณตื่นตัวมากขึ้นแถมยังใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเจ้าถิ่นด้วย เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วก็เช่นกัน อย่าเอาแต่นอนพักเพราะจะทำให้ยิ่งเพลียไปกันใหญ่ ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์นอกบ้านดีกว่า 12. จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์: ทั้งก่อนไป ระหว่างทริป และหลังจากเดินทางกลับมาแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ดีกว่า เพราะจะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะขาดน้ำและทำให้ปรับตัวยากมากกว่าเดิม 13. หาเวลาเบรคระหว่างวัน: หลังจากที่คุณกลับจากทริปสุดโหดเพื่อเข้าสู่โหมดชีวิตจริงที่ต้องทำหน้างานหรือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ อย่าเพิ่งหักโหมทำงานมากเกินไปเพราะสมองและร่างกายคุณอาจจะเหนื่อยล้าอยู่ ที่สำคัญควรหาเวลาระหว่างวันพักบ้างและไม่ควรนั่งติดเก้าอี้ตลอดทั้งวัน 14.
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากเราต้องนอนหลับให้เพียงพอก่อนการเดินทาง หากต้องนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน ควรเตรียมไอเท็มช่วยให้การนอนบนเครื่องหลับสบาย ผ่อนคลายขึ้น เช่น ผ้าปิดตา, ที่อุดหู และหมอนรองคอใบโปรด รวมถึงควรสวมใส่ถุงเท้าทุกครั้ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สามารถคลิกไปชม วิธีแก้เบื่อและการเตรียมตัวเมื่อต้อง นั่งเครื่องบินนาน ได้เลยค่ะ 6. หมั่นขยับร่างกาย หากเดินทางนานๆ แล้วนอนไม่หลับ ควรเลือกบริหารร่างกายเบื้องต้น เช่น เดินระหว่างที่นั่ง เอี้ยวตัวไปมาเล็กน้อย ขยับยกขาขึ้นลงเล็กน้อย แกว่งแขนเบาๆ ช่วยลดความเครียด อาการเหน็บชาได้เบื้องต้น 7. ดื่มน้ำบ่อยๆ เนื่องจากภายในห้องโดยสารเครื่องบินมีอากาศน้อยกว่าปกติและมีความชื้นต่ำ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย รวมถึงอาการหายใจไม่สะดวก รู้สึกอ่อนเพลีย ทั้งนี้เพื่อลดอาการ Jet Lag ระหว่างเดินทาง ควรจิบน้ำอยู่เสมอ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ ลดอาการช็อก รวมถึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนด้วยนะคะ 8. ถึงง่วงก็ต้องทน เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว หากยังมีอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนตลอดเวลา ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ เบื้องต้นควรฝืนทนอดนอนก่อน แล้วค่อยๆ ปรับตัวทีละนิด รอให้ถึงช่วงเวลาพักผ่อนตามปกติของประเทศนั้นๆ ค่อยนอนหลับพักผ่อน ก็จะทำให้เราเข้ากับเวลาใหม่ได้ค่ะ 9.